นโยบายบุหรี่ไฟฟ้า พรรคการเมืองควรฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน



 

นโยบายบุหรี่ไฟฟ้า พรรคการเมืองควรฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

น่าสนใจที่นโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เป็นประเด็นหนึ่ง ที่มีการถามตัวแทนพรรคการเมืองช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา

ในหลายเวที คำตอบจากหลายพรรคการเมือง มีทั้งที่สนับสนุนให้ยกเลิกการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า และที่สนับสนุนให้คงการห้ามต่อไป

ก่อนหน้านั้น เครือข่ายล็อบบี้ยิสต์ที่เชียร์บุหรี่ไฟฟ้า ออกข่าวว่า ได้ส่งหนังสือถึงหัวหน้าพรรคการเมืองต่าง ๆ  ขอเข้าพบเพื่อขอให้กำหนดเป็นนโยบายของพรรคที่จะยกเลิกการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า

ขณะที่เครือข่ายสุขภาพที่รณรงค์ไม่สูบบุหรี่ ก็เสนอให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ให้คงการห้ามขายต่อไป พร้อมกับการบังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าและขาย เร่งให้ความรู้พิษภัยบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็กและเยาวชน

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน มีโพลล์สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ต่อนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาวะของประชาชนและสังคม  โดย ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ SAB ที่สนับสนุนทุนโดย ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา และ สสส.

โดยเป็นการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มประชากรตัวอย่าง 2,679 คน อายุ 18 ปีขึ้นไป จาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ

ผมเองในฐานะคนทำงานควบคุมยาสูบ ไม่รู้และไม่มีส่วนในการสำรวจครั้งนี้ ที่เขาถามคำถามเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า 3-4 คำถาม เพิ่มจากคำถามประเด็นอื่น ๆ

ผมไม่แน่ใจว่า พรรคการเมืองที่ตอบว่า จะสนับสนุนการยกเลิกห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ได้มีโอกาสรับรู้ผลโพลล์ความคิดเห็นที่สำรวจหรือไม่ ดังนี้

คำถามว่า เห็นด้วยกับการยกเลิกการห้ามขายหรือไม่ กลุ่มตัวอย่าง 63.7% ไม่เห็นด้วย 20.1% เห็นด้วย และ 16.2% ไม่มีความคิดเห็น

คำถามว่า การยกเลิกการห้ามขาย กลุ่มตัวอย่าง 47.0% คิดว่าส่งผลเสียมากกว่าผลดี ขณะที่ 6.5% คิดว่าส่งผลดีมากกว่าผลเสีย และ 46.5% ไม่มีผล / ไม่แน่ใจ

ผมเชื่อว่าการสำรวจความคิดเห็นที่ออกมา สะท้อนความรู้สึกของสังคม ที่มีความกังวลต่ออันตราย ที่จะมีจากการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าของลูกหลานของเขา จากพื้นฐานที่สังคมไทยรับรู้ถึงอันตรายจากการเสพติดบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเพียงผลิตภัณฑ์บุหรี่ชนิดใหม่ ที่เสพติดและมีอันตราย

ในระดับโลก ประเทศที่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าค่อย ๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  จากการที่เขาเคยให้ขายได้ถูกกฎหมาย แล้วพบว่าเด็กและเยาวชนสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น  จึงมีการทะยอยออกกฎหมายห้ามขาย

ประเทศไทยห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่ พ.ศ. 2557-2558 แต่การระบาดเพิ่งมารุนแรง เมื่อ 2-3 ปีหลัง จากการที่การบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ และการรณรงค์พิษภัยบุหรี่ไฟฟ้ายังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน แต่สถานการณ์การบังคับใช้กฎหมายและการเร่งรัดให้ความรู้กำลังเริ่มดีขึ้น

พรรคการเมืองที่จะมาบริหารประเทศวาระใหม่ จึงควรที่จะคงกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า กำชับให้มีการบังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายอย่างจริงจัง พร้อม ๆ กับการเร่งรัดให้ความรู้พิษภัยบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็กและเยาวชน อย่างน้อยอีกระยะหนึ่ง แล้วประเมินสถานการณ์ใหม่ ก่อนที่จะยกเลิกการห้ามขาย

ท่านผู้นำพรรคการเมือง เป็นนักประชาธิปไตย อยากให้ท่านฟังความคิดเห็นของประชาชนจากการสำรวจ ที่ต้องการป้องกันกลุ่มประชากรเยาวชนที่จะเสพติดนิโคติน ซึ่งส่วนใหญ่จะเสพติดไปตลอดชีวิต

ขณะเดียวกัน มีเรื่องที่สำคัญที่จะต้องพิจารณาคู่ขนานไปกับการกำหนดนโยบายบุหรี่ไฟฟ้า คือขอให้ท่านเร่งแก้ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ทางด้านนโยบายควบคุมยาสูบด้านอื่น ๆ ที่ยังรอการแก้ไขอีกมาก โดยการห้ามหรือไม่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เป็นเพียงประเด็นหนึ่งในภาพใหญ่ ของปัญหาการควบคุมยาสูบของประเทศ

จึงอยากให้พรรคการเมือง / รัฐบาลใหม่ ศึกษาอุปสรรคในการควบคุมยาสูบของประเทศไทยอย่างรอบคอบ และมีการแก้ปัญหาทั้งระบบ และกำหนดนโยบายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า โดยฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

พวกเราที่ทำงานควบคุมยาสูบ พร้อมที่จะสนับสนุน / ร่วมทำงานกับท่าน ในการปกป้องลูกหลานไทย จากการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า

 

ศ.นพ.ประกิต วาที่สาธกกิจ
19 พฤษภาคม 2566

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • วัยรุ่นไทยเสี่ยง “เสียคน” ก่อน “เสียสุขภาพ” จากบุหรี่ไฟฟ้า
  • “บุหรี่ไฟฟ้า โทษอันตราย กับการเรียน และอนาคตวัยรุ่น”
  • ผู้ปกครอง - ครู 9 ใน 10 คน หนุน รบ. ห้ามนำเข้า - ขายบุหรี่ไฟฟ้า 
  • สิงคโปร์ ห้ามนำเข้า และ ขายบุหรี่ไฟฟ้า ทุกชนิด
  • บุหรี่ไฟฟ้า ผลกระทบต่อเยาวชน (ทำไมเราต้องแบนบุหรี่ไฟฟ้า)
  • การดำเนินการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า
  • นโยบายบุหรี่ไฟฟ้า พรรคการเมืองควรฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
  • 12 เหตุผลที่ต้องร่วมกันปกป้องลูกหลานจากบุหรี่ไฟฟ้า
  • เหตุผล 12 ข้อ สำหรับพ่อแม่ ครู โรงเรียน สื่อมวลชน และชุมชน
  • 9 สาเหตุที่ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าห้องห้าม