ชีวิตวิถีใหม่ของ "เด็กไทย" New Normal for Thai Children

คอลัมน์ : จับกระแส

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานแถลงข่าว “New Normal for Thai Children ชีวิตวิถีใหม่ของเด็กไทย” ภายใต้โครงการ "กิจกรรมส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายกลุ่มวัยเด็กในสถานศึกษา" (Active Play Active School) ได้จัดเสวนาหัวข้อ “ทิศทางการสร้างเสริมสุขภาวะบนชีวิตวิถีใหม่ของเด็กไทย” เพื่อระดมสมองเปิดมุมมอง ชีวิตวิถีใหม่ของเด็กไทย นอกจากมาตรการที่ป้องกันโควิด-19 แล้ว การสร้างเสริมสุขภาพของเด็กก็สำคัญไม่แพ้กัน

นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา กล่าวถึง ความสำคัญของการส่งเสริมสุขภาวะบนชีวิตวิถีใหม่ของเด็กไทย ว่า ขณะนี้ต้องผสมผสานระหว่างความปลอดภัยด้านสาธารณสุขกับคุณภาพการศึกษา ในช่วงนี้กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมการต่าง ๆ ไว้ เช่น มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์และออนแอร์ โดยออนแอร์เรียนผ่านโทรทัศน์ 17 ช่องตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 – ม.6 “ตอนนี้โรงเรียนขนาดเล็กไม่เกิน 120 คน เปิดได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเราก็เตรียมการไว้พร้อมทั้งเรื่องของการวัดไข้ การล้างมือ เจลแอลกอฮอล์และหน้ากาก ส่วนในแง่ของโรงเรียนขนาดใหญ่ ต้องเว้นระยะห่างในห้องเรียน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนพร้อมกัน จึงต้องสลับกันมาเรียน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดโมเดลขึ้นมาหลายรูปแบบให้โรงเรียนนำไป ประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมของบริบทในแต่ละโรงเรียน แต่เด็กที่หยุดต้องได้รียนออนไลน์ไปพร้อม ๆ กับเพื่อนที่เรียนอยู่”

นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ กล่าวว่า "เด็กต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถ้ามีวัคซีนป้องกันให้ฉีดวัคซีนเพื่อภูมิคุ้มกันที่ดี ล้างมือบ่อย ๆ การล้างมือจะช่วยป้องกันตัวเอง และออกกำลังกายเพื่อทำให้ภูมิต้านทานดีขึ้น สวมหน้ากาก สร้างระยะห่างทางกายภาพ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ แต่ชีวิตวิถีใหม่นั้นไม่ได้ปฏิบัติเพื่อป้องกันโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังสามารถป้องกันโรคอื่น ๆ ทั่วไปด้วย โดย

1. ความปลอดภัยต่อชีวิตและสุขภาพต้องมาอันดับหนึ่ง โดยต้องสวมทั้งหน้ากากและหมวกกันน็อกเพื่อป้องกันชีวิต

2. ประหยัด ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่นบุหรี่ แอลกอฮอล์ การพนัน ไม่เน้นใหญ่โต หรูหรา ฟุ่มเฟือย ประหยัดทรัพยากร เวลา รักษาธรรมชาติ

3. ไม่เอาเปรียบ ไม่โกง ยุติธรรม

4. เปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคม

ดร.สุปรีดา อดลุยานนท์ กล่าวว่า “จากผลกระทบของโควิด ทำให้หลายอย่างถูกบังคับให้เปลี่ยน สสส.ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสพฐ.ทำคู่มือ การจัดการโรงเรียน รับมือโควิด-19 เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ดังนั้น สามารถวางใจได้ในระดับหนึ่งถึงความปลอดภัย ในส่วนของการเสริมทักษะ เราเน้น เล่น เรียน รู้ เพราะการเรียนไม่ได้จำกัดแค่ในห้องเรียนทั้งยังมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วยในการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้”

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม กล่าวว่า "พฤติกรรมสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงที่มีการระบาดของโควิด คือ การเคลื่อนไหวร่างกายของเด็กลดลง WHO แนะนำว่า เด็กควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อยวันละ 60 นาที แต่เด็กไปใช้ชีวิตอยู่ที่หน้าจอ ทำให้เกิดปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การไม่เคลื่อนไหวทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานก็ลดลง ในระยะยาวทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม เราจึงต้องกลับมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกาย ผ่านการเล่น “การจัดการโควิดช่วงนี้ต้องย้ำในเรื่องของสุขอนามัย การล้างมือ การรักษาระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากาก และสุขลักษณะในการกิน การนอน การเล่น การมีกิจกรรมทางกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ควรปฏิบัติ สถานการณ์โควิดถือเป็นบทเรียนที่สำคัญ ที่เราจะใช้สถานการณ์นี้เป็นบทเรียนสอนลูกในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเตรียมให้มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน เรียนรู้ที่จะจัดการกับปัญหา และพร้อมที่จะเป็นอนาคตของชาติต่อไป” อย่างไรก็ตาม สสส.ให้ความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กทุกช่วงวัย พยายามรณรงค์ ทำข้อมูลวิชาการ เพื่อกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อรองรับการแพร่ระบาดของโควิด เพื่อให้เด็กไทย และทุกคนในประเทศไทยมีสุขภาวะที่ดี

เรื่องโดย เทียนทิพย์ เดียวกี่ Team Content www.thaihealth.or.th ข้อมูลจากการเสวนา ชีวิตวิถีใหม่ของเด็กไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก  

smartnews เผยแพร่ วันที่ 30 มิถุนายน 2563