ตำรวจภูธรภาค ๕ เร่งดำเนินการตามโครงการขับเคลื่อนนโยบาย “ สถานีตำรวจปลอดบุหรี่ ” เพื่อเป็นต้นแบบของสถานีตำรวจส่งเสริมสุขภาพ

ตำรวจภูธรภาค ๕ เร่งดำเนินการตามโครงการขับเคลื่อนนโยบาย

“ สถานีตำรวจปลอดบุหรี่ ”

เพื่อเป็นต้นแบบของสถานีตำรวจส่งเสริมสุขภาพ

๗ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารสโมสรคุ้มแก้วขวัญดาว ตำรวจภูธรภาค ๕

พล.ต.ท.ประจวบ  วงศ์สุข  ผบช.ภ.๕ พร้อมด้วย พล.ต.ต.วรัตม์ชัย  ศรีรัตนวุฑฒิ รอง ผบช.ภ.๕, พล.ต.ต.สมสง่า  ชรินทร์ รอง ผบช.ภ.๕ ,  พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณศิริเขต รอง ผบช.ภ.๕, พล.ต.ต.กฤษณะพล  ยี่สาคร รอง ผบช.ภ.๕ ,    พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี  รอง ผบช.ภ.๕ และ

พล.ต.ต.อดุลย์  ดรุณเพท รอง ผบช.ภ.๕ พร้อมด้วย นายแพทย์บุญเติม   ตันสุรัตน์  กรรมการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  และที่ปรึกษา สปสช. เขต ๑ เชียงใหม่ , พล.ต.ต.หญิงพิมพรรณ  ทรัพย์ขำ ผบก.ดร.รพ., ผู้แทนนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่  ได้ร่วมพิธีมอบป้ายสถานีตำรวจเป็นเขตปลอดบุหรี่ ให้กับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดในสังกัดจำนวน ๘ แห่ง และหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรในสังกัดตำรวจภูธรภาค ๕ จำนวน ๑๕๙ แห่ง ซึ่งเป็นการดำเนินการตาม " โครงการตำรวจภูธรภาค ๕ ขับเคลื่อนนโยบายสถานีตำรวจปลอดบุหรี่ " ซึ่งเป็นความร่วมมือร่วมกันระหว่างตำรวจภูธรภาค ๕, โรงพยาบาลดารารัศมี , สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้สถานีตำรวจภูธรในสังกัดตำรวจภูธรภาค ๕ เป็นเขตปลอดบุหรี่ และส่งเสริมสนับสนุนให้ข้าราชการตำรวจเลิกสูบบุหรี่ ตลอดจนการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาพ โดยมีเครื่องหมายแสดงไว้ให้เห็นโดยชัดเจนว่าเป็นเขตปลอดบุหรี่และปราศจากอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการสูบบุหรี่ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่ามีจำนวนข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติบนสถานีตำรวจที่สูบบุหรี่ จำนวน ๑,๓๘๙ นาย จากจำนวนข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่บนสถานีตำรวจทั้งสิ้น ๑๑,๖๘๖ นาย สำหรับเป้าหมายของโครงการดังกล่าวคือ ให้หัวหน้าสถานีตำรวจสนับสนุนส่งเสริมให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดที่สูบบุหรี่เลิกสูบบุหรี่ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ ๓๐ และจัดสถานที่บริเวณสถานีตำรวจให้เป็นสถานที่ที่คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ โดยมีเครื่องหมายแสดงไว้ให้เห็นชัดเจนว่าเป็นเขตปลอดบุหรี่และปราศจากอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการสูบบุหรี่ 

 

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบ  วงศ์สุข ผบช.ภ.๕ ได้กล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค ๕ ได้อนุมัติให้ดำเนินการตามโครงการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นมา โดยจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และมีติดตามผลการดำเนินการทุกระยะ ซึ่งจะมีการมอบโล่และประกาศเกียรติคุณให้กับหัวหน้าสถานีตำรวจที่สามารถส่งเสริมสนับสนุนให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดของตนที่สูบบุหรี่เลิกสูบบุหรี่ได้ โดยแบ่ง ๓ ระดับ ได้แก่

 

 

-๒-

 

๑.ระดับดีเลิศ  จำนวนข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่บนสถานีตำรวจที่สูบบุหรี่มีจำนวนลดลงร้อยละ ๕๐ ขึ้นไป

๒.ระดับดีมาก จำนวนข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่บนสถานีตำรวจที่สูบบุหรี่มีจำนวนลดลงร้อยละ ๔๐ ถึงร้อยละ ๔๙

๓.ระดับดี  จำนวนข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่บนสถานีตำรวจที่สูบบุหรี่มีจำนวนลดลงร้อยละ ๓๐ถึงร้อยละ ๓๙

นอกจากนั้น ยังมุ่งหวังให้สถานีตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค ๕ เป็นสถานีตำรวจต้นแบบ “สถานีตำรวจปลอดบุหรี่” ให้กับสถานีตำรวจในสังกัดสำนักตำรวจแห่งชาติต่อไปด้วย

 

ในการนี้ นพ.บุญเติม  ตันสุรัตน์  กรรมการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  และที่ปรึกษา สปสช. เขต ๑ เชียงใหม่  กล่าวว่าสืบเนื่องจากพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.๒๕๖๐  ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐  กำหนดให้สถานที่สาธารณะ สถานที่ทำงาน และยานพาหนะ  ให้ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของสถานที่และยานพาหนะ เป็นเขตปลอดบุหรี่ ด้วยสถานีตำรวจเป็นสถานที่ราชการและเป็นสถานที่สาธารณะที่ให้มีการคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่

อีกทั้งยังเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย จึงต้องถือปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดโดยเคร่งครัด ซึ่งสถานีตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค ๕ มีจำนวน ๑๕๙ แห่งและเปิดให้บริการประชาชนตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง จึงเป็นสถานที่ราชการ ที่ควรเป็นสถานที่ต้นแบบในการส่งเสริมสุขภาพของข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่บนสถานีตำรวจและประชาชนผู้มาติดต่อขอรับบริการ   

ในนามมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  ต้องขอขอบคุณและชื่นชมท่านผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕  เป็นอย่างมากที่ท่านสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการตำรวจภูธรภาค ๕ ขับเคลื่อนนโยบายสถานีตำรวจปลอดบุหรี่  ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  เพื่อสนับสนุนให้สถานีตำรวจภูธรในสังกัดตำรวจภูธรภาค ๕ เป็นเขตปลอดบุหรี่ทั้ง ๑๕๙ แห่ง  อีกทั้งเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ข้าราชการตำรวจเลิกสูบบุหรี่ เป็นต้นแบบที่ดีของประชาชนอีกด้วย และถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะประสานความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อดำเนินโครงการนี้ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

 

-------------------------------------