ข้อมูลสำหรับ ผอก.รยส.
มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
ACTION ON SMOKING AND HEALTH FOUNDATION
Press Release
ศูนย์ข่าว มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
วันที่ 12 กันยายน 2557
วันที่ข่าวตีพิมพ์ : สามารถเผยแพร่ได้ทันที
ข้อมูลสำหรับ ผอก.รยส.
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษาเครือข่าย สสส.นานาชาติ เปิดเผยภายหลังจากที่ได้ดู น.ส.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ให้สัมภาษณ์ออกเคเบิลทีวีช่องหนึ่งเมื่อวันที่ 12 กันยายน ทำให้รู้ว่า น.ส.ดาวน้อย ซึ่งเพิ่งเข้ามาเป็นผู้อำนวยการโรงงานยาสูบเพียงสองเดือน ยังไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงทั้งกรณี สสส. และปัญหาที่โรงงานยาสูบเผชิญอยู่ ในส่วนของ สสส. ที่ น.ส.ดาวน้อย กล่าวย้ำว่า ไม่รู้ว่า สสส. เอาเงินไปทำอะไร น.ส.ดาวน้อย ควรที่จะศึกษาหาข้อมูลก่อนที่จะพูดแบบคลุมเครือ ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าคณะกรรมการกองทุน สสส.มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีสาธารณสุขเป็นรองประธาน และมีกรรมการอีก 19 คน โดยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ฝักใฝ่การเมือง 9 คน ผู้แทนระดับสูงของอีก 9 กระทรวง มีการประชุมคณะกรรมการทุกเดือน มีคณะกรรมการประเมินผล 7 คนที่เห็นชอบโดยกระทรวงการคลัง และแต่งตั้งโดย ครม. ทำหน้าที่ควบคู่กับคณะกรรมการกองทุน การกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าไม่รู้ว่า สสส. เอาเงินไปทำอะไร อาจจะเป็นการหมิ่นเหม่ได้ว่าเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงต่อทั้งคณะกรรมการกองทุน และกรรมการประเมินผลตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ส่วนที่ รยส. ต้องชำระภาษีเพิ่มขึ้น แล้วกระทรวงการคลังนำส่งให้แก่ สสส. และไทยพีบีเอสนั้น เป็นไปตามกฎหมายกำหนด ซึ่งทุกบริษัทบุหรี่ต้องปฏิบัติตามไม่เฉพาะ รยส. จึงไม่ควรที่จะบอกว่า รยส. ต้องส่งเงินให้สองหน่วยงานนี้ เงินที่ส่งมานั้นกล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่เงินของ รยส. แต่เป็นเงินของผู้สูบบุหรี่ทุกคนต่างหาก ที่รัฐบาลกำหนดให้ยาสูบ ต้องมีภาษีสรรพสามิต เพื่อลดการบริโภค
ในส่วนที่โรงงานยาสูบปฏิเสธที่จะบริจาคเงินให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่ขอมานั้นเป็นเรื่องที่ชอบธรรมแล้ว เพราะมติ ครม. วันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2555 เห็นชอบตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่ให้กระทรวงการคลัง ห้ามธุรกิจยาสูบทำกิจกรรมภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก เพราะการบริจาคเงินให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ เป็นการโฆษณาทางอ้อมและส่งผลทางลบต่อการกำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ
ในส่วนของปัญหาการดำเนินการของโรงงานยาสูบนั้น รยส. ควรจะเรียกร้องให้มีการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ซิกาแรต ที่ขณะนี้คิดตามน้ำหนักหรือตามมูลค่า แล้วแต่วิธีไหนจะมีมูลค่ามากกว่ากันนั้น ขณะนี้มีบุหรี่นำเข้าที่ทำมวนขนาดต่ำกว่ามวนละหนึ่งกรัม ทำให้เสียภาษีมวนละไม่ถึงหนึ่งบาท และซองละเพียง 14-15 บาท ทำให้ราคาขายปลีกซองละ 25 บาท ขณะที่บุหรี่ระดับล่างของโรงงานยาสูบยังมีน้ำหนักใกล้เคียงมวนละหนึ่งกรัม มีภาระภาษีเกือบซองละยี่สิบบาท ทำให้ราคาขายปลีกซองละ 33-34 บาท โรงงานยาสูบจึงเสียส่วนแบ่งตลาดบุหรี่ให้แก่บุหรี่นำเข้ามากขึ้นมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้มีทางแก้ความเสียเปรียบของโรงงานยาสูบ โดยโรงงานยาสูบขอให้กระทรวงการคลัง เสนอกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานให้บุหรี่ซิกาแรตมีน้ำหนักมวนละหนึ่งกรัม บุหรี่นำเข้าที่ราคาถูก ๆ ขณะนี้ ก็จะต้องเสียภาษีเท่ากับบุหรี่ของโรงงานยาสูบ ทำให้ราคาสูงขึ้น โรงงานยาสูบก็จะเสียส่วนแบ่งตลาดน้อยลง เรื่องอย่างนี้ต่างหากที่โรงงานยาสูบควรจะผลักดัน เพราะจะปกป้องรายได้ของโรงงานยาสูบและกระทรวงการคลังจะมีรายรับจากภาษีเพิ่มขึ้น รวมทั้ง รยส. ควรผลักดันให้มีการเก็บภาษียาเส้นพันธุ์พื้นเมืองเพื่อป้องกันคนสูบบุหรี่ซิกาแรตหันไปสูบยาเส้น ซึ่งรัฐบาลไม่ได้รับภาษีแต่ต้องแบกภาระค่ารักษาโรคเมื่อผู้สูบยาเส้นป่วย และท้ายสุดทุกฝ่ายต้องไม่ลืมว่า ธนาคารโลกสรุปว่าธุรกิจยาสูบทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่าภาษีที่ได้รับ ดังนั้นยิ่งขายบุหรี่มากเท่าไร ส่วนรวมก็ยิ่งสูญเสียมากเท่านั้น
ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
โทร. 0-2278-1828 / 08-1822-9799