หนึ่งทศวรรษ กฎหมายบุหรี่โลกไม่สุดโต่ง

มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่                    

ACTION  ON  SMOKING  AND  HEALTH  FOUNDATION

Press Release

ศูนย์ข่าว มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2558

วันที่ข่าวตีพิมพ์  :  สามารถเผยแพร่ได้ทันที

 

 

หนึ่งทศวรรษ กฎหมายบุหรี่โลกไม่สุดโต่ง

           

ศ.นพ.ประกิต  วาทีสาธกกิจ  เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  เปิดเผยว่า        วันที่  27 กุมภาพันธ์  2558 นี้ เป็นวันครบรอบ 1 ทศวรรษ : การบังคับใช้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ ขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC)  ซึ่งกรอบอนุสัญญาฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ วันที่  27 กุมภาพันธ์ 2548

            ประเทศไทยได้ลงนามให้สัตยาบันเป็นประเทศลำดับที่ 36 ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2547  ปัจจุบันนี้      มี 180 ประเทศเป็นรัฐภาคี ครอบคลุมประชากรเกือบ 90% ทั่วโลก โดยในกลุ่มประเทศอาเซียน มีเพียงประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น ที่ยังไม่ได้ลงนามให้สัตยาบันเป็นรัฐภาคี เนื่องจากการขัดขวางของบริษัทยาสูบ

            วัตถุประสงค์ของกรอบอนุสัญญาฯ เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชนในปัจจุบัน และชนรุ่นหลังจากพิษภัยร้ายแรงของการใช้ยาสูบ และการได้รับควันยาสูบ

            ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐภาคีตามกรอบอนุสัญญาฯ ครั้งที่  2   ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550

            มาตรการการควบคุมยาสูบของประเทศไทย ที่ได้อนุวัติตามข้อกำหนดของ FCTC แล้ว อาทิ การจัดพิมพ์คำเตือนพิษภัยเป็นรูปภาพบนซองผลิตภัณฑ์ยาสูบ การห้ามโฆษณา CSR ในสื่อวิทยุและโทรทัศน์ การห้ามแสดงซองบุหรี่ ณ จุดขาย  การกำหนดแนวทางการติดต่อระหว่างผู้ประกอบการยาสูบกับเจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมโรค การจัดสรรงบประมาณจากภาษียาสูบ        เพื่อสนับสนุนการควบคุมยาสูบ และการกำหนดสถานที่สาธารณะและที่ทำงานเป็นเขตปลอดบุหรี่ 100% เป็นต้น

            กรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบฯ ทำให้ประเทศต่าง ๆ สามารถกำหนดมาตรการการควบคุมยาสูบ ตามข้อกำหนดในมาตราต่าง ๆ ของกรอบอนุสัญญาฯ ซึ่งเป็นข้อกำหนดเชิงประจักษ์      ทั้งนี้ ข้อกำหนดต่าง ๆ ภายใต้กรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำ ที่รัฐภาคีสามารถที่จะกำหนดมาตรการหรือกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่าได้ ซึ่งการที่ประเทศไทยยกร่างพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่นี้ ก็ได้นำข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการโฆษณา       การส่งเสริมการขาย และการลดการเข้าถึงยาสูบของเด็กและเยาวชน มาบัญญัติไว้   โดยไม่มีบทบัญญัติใด ที่เข้มงวดไปกว่าที่กำหนดไว้ในกรอบอนุสัญญาฯ จึงไม่ใช่ร่างกฎหมายที่สุดโต่ง  ตามที่ธุรกิจยาสูบกล่าวอ้าง หรือบิดเบือนข้อเท็จจริงแก่สาธารณะในช่วงที่ผ่านมา

กรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบฯ เป็นกรอบอนุสัญญาที่มีพันธะผูกพัน (Binding) ต่อรัฐภาคี แต่ไม่มีบทลงโทษ เพียงแต่ประเทศที่ไม่สามารถดำเนินการตามข้อกำหนดของกรอบอนุสัญญาฯ จะถูกประชาคมโลกมองว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสุขภาพของประชาชน   จากการเสพติด และพิษภัยยาสูบ ในขณะที่ประเทศที่สามารถดำเนินการตามข้อกำหนดของกรอบอนุสัญญาฯ ได้ ยิ่งมากเท่าใด ประเทศนั้นก็จะได้รับประโยชน์จากการที่สุขภาพของประชากรดีขึ้น จากการบริโภคยาสูบที่ลดลง

จากรายงานของ 126 ประเทศ ในปี พ.ศ. 2554 อุปสรรคที่สำคัญที่สุด 4 ประการแรก ในการที่รัฐภาคีจะดำเนินการตามข้อกำหนดของ FCTC คือ

  1. การแทรกแซง และขัดขวางนโยบายควบคุมยาสูบ โดยธุรกิจยาสูบ
  2. ขาดความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political will)
  3. การได้รับงบประมาณในการควบคุมยาสูบ ที่ไม่เพียงพอ
  4. การขาดการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน

 

  

ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ โทร. 0-2278-1828 / 08-1822-9799