คอลัมน์ ลมหายใจห้อม หอม
เย็นย่ำแล้ว ผมรีบเดินจ้ำกลับที่พักเกรงฝนจะตกหนัก เพราะท้องฟ้ามืดดำทะมึนด้วยเมฆมากแถมยังมีลมพัดแรง ผมรีบสาวเท้าเดินอย่างรีบเร่ง แต่เดินเร็วอย่างไรก็ไม่ทันเสียแล้ว ฝนค่อยๆ ลงเม็ดและสักครู่ก็กระหน่ำลงมาหนักจั่ก ๆ ยังกับเอาน้ำในกาละมังมารดลงบนตัว เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว หาที่หลบก่อนดีกว่า
ผมรีบเดินหลบไปข้างบ้านที่เลี้ยงไก่ เสียงไก่ร้องจ๊อกแจ๊กอยู่ในโรงไก่ หมาเห่าจากตัวบ้านน่ากลัวมันจะหลุดมาไล่งับ ยืนหลบอยู่สักพักก็ไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุด แต่พอเบา ๆ ซาเม็ดโต ๆ ลงบ้าง ตัดสินใจเดินออกจากเพิงเล้าไก่ เดินออกไปบนถนนสายทางเข้าหมู่บ้าน อีกประมาณสามกิโลที่ต้องผจญฝนและความหนาวเย็น ทั้งที่เสื้อผ้าเปียกปอนไปทั้งตัว แล้ววาบแสงไฟจากรถก็ไล่ตามมาข้างหลัง พอใกล้ ๆ ก็เข้ามาจอด
จะไปบ้านไหน พอผมตอบไปบ้านหนองหิน เขาบอกผมจะผ่านทางนั้นพอดี มาขึ้นรถก่อน รอจัดของสักครู่นะครับ เดินไปไม่ไหวหรอกฝนตกอย่างนี้ ผมใจชื้น ฟ้าส่งฝนเทลงมากระหน่ำ แต่ฟ้าก็ส่งรถกับข้าวมาช่วยชีวิตไว้จนได้ ยามทุกข์ยาก หนาวเย็นด้วยความเปียกปอน ผมนั่งหน้ารถคู่กับคนขับร่างสมบูรณ์ แล้วบทสนทนาหน้ารถท่ามกลางสายฝนและแสงไฟก็เริ่มต้น
ทำไมจึงมาทำรถขายกับข้าวล่ะ ผมถามคำแรกเป็นประเดิม เรื่องมันยาวครับ เขาเอ่ย ผมไม่ได้เรียนหนังสือสูงส่งอะไร เป็นลูกน้องช่างเครื่องยนต์ แล้วก็เขยิบมาเป็นช่างเต็มตัว จนมาได้ทำงานอยู่โรงแรมชั้นหนึ่งที่ภูเก็ต ผู้จัดการใหญ่เป็นอิตาลี ผมกับเขาสนิทกัน ไปไหนไปด้วยกัน กินไหนกินกัน ผมเลยอ้วนแบบหนุ่มอิตาลีเลยแหล่ะ เขาหัวเราะ
แล้ววันหนึ่งชีวิตก็เปลี่ยน ปลายปีนั้น 26 ธันวาคม 2547 ผมกับเพื่อนยืนอยู่หน้าโรงแรม ชายหาดป่าตอง อากาศเย็นสบาย แล้วน้ำค่อย ๆ แห้งหายไปจากหาด ก็ไม่คิดอะไร สักครู่น้ำมันก็มาใหม่ คราวนี้โถมไล่ขึ้นมาแรง หนักหน่วง น้ำมาก ๆๆ ผมกับเพื่อนบอกกันสามคน มึงอย่าทิ้งกู กูก็จะไม่ทิ้งมึง แล้วก็ปีนต้นไม้ ให้สูงที่สุดเท่าที่แรงจะมีปีนได้ โน่นยอดไม้นั่น กอดต้นไม้นั้นไว้แน่นสักสิบห้านาที น้ำลงเห็นรอบ ๆ ระเนระนาด โรงแรมพัง เรือขึ้นมาบนหาด รถวิ่งตามน้ำไปไกลเป็นกิโล ค่อย ๆ ลงจากยอดไม้ บอกเพื่อน รอดตายแล้ว ไปกันเถอะ ผมหมดตัว เอาชีวิตกลับมาบ้านเกิด สองคนกับแฟนที่รอดสึนามิมาด้วยกัน แล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรดี (อ่านต่อตอนต่อไป)
เรื่องเล่าโดย สมปอง ดวงไสว วันที่ 28 สิงหาคม 2560